Wednesday, April 23, 2008

จีนแคะ

จีนแคะเมืองจีนกับจีนแคะในเมืองไทย
มีความแตกต่างกันหลายประการ
ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น แต่ประเพณีบางอย่างก็ได้สืบทอดกันมาไม่ขาดสาย
แม้จะไม่หวือหวา แต่ก็ยังคงเดิมอยู่
ที่ช่วยกันรักษาความภาคภูมิใจ
ต่อมาคำว่า “จีนแคะ” ต้องให้ความหมายเพื่อเข้าใจสักเล็กน้อย
คำว่า “แคะ” ตรงกับคำว่า “เค่อ” ในภาษาจีนกลาง
แปลว่าแขกหรือผู้มาเยือน
ซึ่งความหมายนี้มีพื้นฐานทางประวัติศาสตร์
ที่เล่าต่อกันมาหลายชั่วคน
เหตุที่เรียกว่า “แขก” นั้น
เป็นคำที่ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน
ใช้เรียกคนจีนที่ลงมาอาศัยอยู่ทางใต้
ตัองขอท้าวความเดิมว่า ในสมัยก่อนที่ราชวงศ์ฮั่นจะแตกนั้น คนจีนแทบจะไม่ได้อยู่ในเขตตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงเลย
ปล่อยให้แขก “พวกฮวน” อันหมายถึง ชนชาติส่วนน้อย
เช่นพวกจ้วง ไต เวียดนาม และอื่น ๆ อาศัยอยู่ ดังนั้นทางราชการจีนในเวลานั้นจึงถือเอาสถานที่ห่างไกล
เช่นนั้นเป็นที่สำหรับเนรเทศชาว “ฮั่น” ที่มีความผิด หรือไม่ก็พวกกบฏที่ต้องการส้องสุมกำลัง
ต่อต้านราชวงศ์ก็หลบมาอยู่ในบริเวณนี้
และพวกที่หนีการรังแก
ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ทุจริตคอยรีดนาทาเร้น ก็เช่นเดียวกันเนื่องจากความรักอิสรภาพ
ดังจะเห็นได้จากการที่ในประวัติศาสตร์จีนต่อๆมา
จะมีการสะสมกำลังของกบฏทางตอนใต้
เพื่อยกกำลังไปตีเมืองหลวงที่ฉางอันบ้าง ไคฟงบ้าง
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง คนที่เป็นชนชาติส่วนน้อยต่าง ๆ
จึงเรียกคนจีนที่อพยพลงมานี้ว่า “เค่อ” หรือ “แคะ”
อันเป็นการเรียกคนแปลกหน้า
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านมาคำนี้ก็เลือน ๆ ความหมายเดิมไป
กลายเป็นคำใช้เรียกคนจีน
กลุ่มหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลกลางตุ้ง
คาบเกี่ยวมณฑลฮกเกี้ยน
ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมบางอย่างในการดำเนินชีวิต
เป็นของตนเองแต่พวกจีนแคะ กลับเรียกตัวเองว่า “ฮากกา” ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกัน
การกระจายของชาวจีนแคะไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ
ทำให้จีนแคะแยกออกเป็นสองกลุ่มง่าย ๆ
คือ พวกแคะลึก กับแคะตื้น


แคะลึก หมายถึง จีนแคะที่อยู่ในบริเวณที่อื่นๆ
และเป็นชนกลุ่มน้อยในชุมชนอื่น
ซึ่งก็มีความผิดแผกทางด้านภาษาที่ใช้บ้าง
แต่ก็รู้ว่าเป็นจีนแคะอยู่ สังเกตได้จากอาชีพจีนแคะนั้น
จะมีความชำนาญในอาชีพทำเครื่องหวาย
เครื่องเงิน ทอง เครื่องหนังต่าง ๆ
เช่น รองเท้า ซึ่งบางอย่างมีความชำนาญ
ที่ถ่ายทอดต่อกันมาไม่มีใครสู้ได้
ความรักอิสรภาพ ไม่ยอมอยู่ให้ใครรังแกของจีนแคะนั้น
ยังคงแสดงให้เห็นอยู่ต่อมาเป็นระยะ ๆ
แม้จะเป็นพวกที่รักความสงบ
นักปฏิวัติที่สำคัญของเมืองจีนอย่างท่านซุนยัดเซ็น
หรือ ซุนจงซัน “บิดาของประเทศจีนยุคใหม่”
ท่านเย่เจี้ยนอิงอดีตรัฐมนตรีกลาโหม
และประธานสภาประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ก็เป็นแคะเหมือนกัน
อยากทำความเข้าใจในที่นี้ว่า
คำว่าจีนแคะ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยนหรือ ไหหลำนั้น
ไม่ได้หมายถึงแค่สถานที่ หรือชื่อเเซ่แค่นั้น
แต่มีความหมายมากกว่านั้น เพราะวิถีชีวิตในสังคมจีนนั้น
จะมีการอยู่รวมกลุ่มกันเป็นหมู่บ้าน
เป็นเมืองซึ่งมีอาณาเขตพอสมควร
คนที่อยู่ในชุมชนเหล่านั้นไม่ว่าจะมีแซ่อะไรก็ตาม
จะต้องทำความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในด้านการอยู่กินประจำวัน
มีการแบ่งงานในความรับผิดชอบ
ไม่ว่าจะด้านอาชีพการรักษาปลอดภัยของชุมชน
การเสียภาษี การใช้น้ำชลประทาน
ตลอดจนการปันส่วนเครื่อง อุปโภคบริโภคในยามจำเป็น เพราะคงเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า
เมืองจีนนั้นความคงเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า
เมืองจีนนั้นความแร้นแค้นมีอยู่มาก
และสงครามก็เกิดบ่อยเหลือเกิน
ชุมชนจีนแบบนี้เองเป็นที่มา
ของคำว่าจีนแต้จิ๋ว จีนแคะ ไหหลำดังกล่าว
ซึ่งภาษาทางด้านสังคมวิทยา
ก็กล่าวว่ามีลักษณะที่เรียกว่า “Clans”
หรือจีนว่า “จู๋” ซึ่งต่างจากระบบ “วรรณะ” ของอินเดีย
แต่ก็มีเป้าหมายไม่ต่างกันนัก
ในด้านการสร้างความปลอดภัยแก่สมาชิกชุมชน
สภาพทางสังคม อย่างนี้เองที่ติดตัวชาวจีน
ที่เดินทางออกมาจากแผ่นดินแม่
มาแสวงหาทางออกของชีวิต คนจีนโพ้นทะเลเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะไปรวมกลุ่มกันขึ้นมา
พึ่งพาอาศัยกันในรูปแบบที่เคยเป็นมา
ในเมืองไทยเองจะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจน
จากบรรดาสมาคมชาวจีน
ที่อยู่นับร้อยสมาคมจีนแคะเองก็เหมือนคนจีนอื่น ๆ โดยเฉพาะชาวจีนตอนใต้ที่อพยพออกจากเมืองแม่
มายังเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
แต่ชาวจีนแคะนั้นอาชีพหลักตอนที่อยู่เมืองจีนนั้น
ก็คือการเกษตรกรรม
เพราะดินแดนที่จีนแคะอาศัยอยู่นั้นอยู่ในหุบเขาตอนต้นแม่น้ำ มีเมืองเหมยเป็นศูนย์กลาง
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับพวกแต้จิ๋ว ซึ่งอยู่ปลายแม่น้ำ แล้วย่อมไม่อาจแข่งขันความสามารถทางการค้ากับเขาได้ ส่วนความชำนาญเฉพาะอย่างนั้นก็สู้พวกตอนเหนือ
ที่เก่งเรื่องทำเหมืองไม่ได้อีก
ฉะนั้นจึงพบว่า อาชีพของจีนแคะรุ่นแรก ๆ
ที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย
จึงมักเป็นกรรมกรตามท่าเรือเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ต่อมาเมื่อจีนแคะที่เป็นพวกมีความรู้ขึ้นมา
เช่นพวกหมอยาหรือพวกช่างฝีมือที่เคยผ่านโรงเรียนมาบ้าง
เดินทางเข้ามาก็ทำให้มีคนหลายอาชีพมากขึ้น
เพราะว่ากันตามจริงเมืองเหมยนั้นก็ได้
ชื่อว่าเป็นเมืองการศึกษาที่สำคัญเมืองหนึ่งของกวางตุ้ง และคนจีนแคะเองนั้นก็เป็นนักศึกษาหาความรู้ที่เก่งคนหนึ่ง แต่ก็มักจะมุ่งเป็นขุนนางจอหงวนหรือซิ่งไฉกัน
จึงไม่เก่งการค้าเท่าที่ควร


ในวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๑
ชาวจีนแคะกลุ่มหนึ่งที่ทำธุรกิจในเมืองไทย ๓๐ คน
ได้เข้าร่วมลงลายมือชื่อ
เพื่อทำหนังสือยื่นต่อพระยาสุขุมนัยวินิต
เพื่อขอตั้งสโมสรการค้า อย่างเป็นทางการ โดยขอให้พระยาสุขุมวินิตเป็นผู้อุปถัมภ์และบำรุงสมาคม
เมื่อได้รับหนังสือแล้ว พระยาสุขุมนัยวินิตได้นำเรื่องขึ้นกราบบังคม ทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพิจารณาโดยได้เสนอความเห็นว่า
“พวกชาติอื่น ๆ คอยดูพวกแคะอยู่เหมือนกัน
ถ้าเป็นการเรียบร้อย ก็จะเอาอย่างบ้าง”
ในการยื่นหนังสือครั้งนี้กลุ่มที่ขอตั้งได้แสดงตัว
ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ โดยทำหนังสือว่า
ได้เลิกประพฤติตัวเป็นอั้งยี่เด็ดขาด
และให้เจ้าหน้าที่กองตระเวนไปเก็บเครื่องสัญญาต่าง ๆ
ที่มีอยู่ในที่ประชุมให้หมด
ซึ่งทำให้สมเด็จฯกรมหลวงดำรงราชานุภาพ (ขณะนั้น) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงพิจารณาเป็นควร
ให้ตั้งสมาคมได้เพราะการเสนอนั้นไม่ขัดต่อกฏหมาย โดยมีเงื่อนไขว่าให้ตั้งเฉพาะที่กรุงเทพฯ และให้มีสมาชิกที่เป็นจีนแคะจากเมืองจีนและบุตรจีนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองสโมสรจีนแห่งแรก
จึงได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๑
โดยใช้ชื่อว่า “สโมสรจีนกรุงเทพฯ” ที่ถูกต้องตามกฎหมายและรัฐบาลรับรองอย่างเป็นทางการ ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาที่บีบรัด “ยิวแห่งบูรพทิศ” ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้บทบาทของสมาคมการค้าจีนต่าง ๆ ซบเซาลงไปและสมาคมจีนต้องหันมาดำเนินงาน
ในด้านสังคมสงเคราะห์เพื่อให้สอดคล้องกับกฏหมาย
และไม่ถูกทางการเพ่งเล็ง
ทำให้ความสัมพันธ์กับรัฐบาลเป็นไปโดยปกติ สมาคมจีนแคะแห่งประเทศไทยซึ่งมีนายเซียวเต็กซู เป็นนายกสมาคมคนแรกได้ดำเนินงานมาด้วยดี
นับได้จนถึงทุกวันนี้ก็ ๕๐ ปี (นับแบบจีน)
สำหรับผู้ก่อตั้งสมาคมรุ่นแรก ๆ
ที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่ต้นตระกูลล่ำซำ
ต้นตระกูลห้างใต้ฟ้า เป็นต้น

สิ่งที่น่าภาคภูมิใจของสมาคมจีนแคะก็คือ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จมาเยือนสมาคม
ซึ่งถือเป็นเกียรติยศที่สมาคมได้รับมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ งานหลักของสมาคมจีนแคะนั้น คุณเต็กไหง่ ผู้จัดการสมาคม
ที่เป็นติดต่อกันมานานถึง ๒๖ ปี
เปิดเผยว่าเป็นงานสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือสมาชิก
โดยมีโรงเรียนจิ้นเตอะตั้งอยู่ที่ทำการของสมาคม
หลังโรงภาพยนตร์เทียนกัวเทียน
โรงพยาบาลจงจินต์อยู่ที่หัวลำโพง
โรงเรียนจิ้นเตอะนั้นเปิดสอนภาษาจีนกลาง
ปัจจุบันมีนักเรียน ๔๐๐ กว่าคน โดยสมาชิกที่ส่งลูกหลานเข้ามาเรียนจะได้ลดค่าเล่าเรียน
แต่ก็รับเด็กทั่วไปด้วยไม่จำเพาะเฉพาะสมาชิก
ส่วนโรงพยาบาลนั้นสมาชิกสมาคม
จะได้รับการลดค่ารักษา ๒๐ % ของค่ารักษาปรกติ นอกจากนั้นยังมีบริการจ่ายยาจีนฟรีแก่ผู้ที่สนใจ
ไม่เลือกว่าจะเป็นใครอีกด้วยในด้านสังคม
ทีมกีฬาฟุตบอลของสมาคมก็เคยมีชื่อเสียง
เป็นที่ติดปากของแฟนฟุตบอลมานานแล้ว
คือทีม “หวีฝ่อ” (แปลว่ารักสันติภาพ)
ซึ่งภายหลังเปลี่ยนมาใช้ชื่อสมาคม ฮากกา แทน คุณเต็กไหง่ให้คำชี้แจงถึงการเปลี่ยนชื่อสมาคมจีนแคะ
เป็นสมาคมฮากกาแห่งประเทศไทยว่า

“คำว่าจีนแคะนี่รู้จักกันแค่เมืองไทย
ในโลกนี้ที่ไหนไหนก็เรียกว่าฮากกากันทั้งนั้น
แม้ฝรั่งก็เรียกว่าฮากกา
ก็เลยเปลี่ยนชื่อให้เข้าใจกันเวลาทำกิจกรรมอะไร” ปัจจุบันสมาชิกของสมาคมฮากกาเข้ามาเนื่องจากสมาคมต่างๆ จังหวัดนั้นเดิมที่เป็นสาขาของสมาคมของกรุงเทพฯ ภายหลังได้เเยกออกไปตั้งเป็นสมาคมฮากกาของแต่ละจังหวัด ซึ่งสมาคมต่างจังหวัดที่ใหญ่มากก็อยู่ที่
ตรัง เบตง หาดใหญ่ พิษณุโลก และอื่นๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ
การเป็นสมาชิกของสมาคมนั้น
ต้องเสียค่าสมาชิกคนละ ๔๐๐ - ๕๐๐ บาทต่อปี
แต่กรรมการต้องเสียมากหน่อยคือ
เดือนละ ๓,๕๐๐ บาทต่อเดือน
โดยเฉพาะประธานกิตติมศักดิ์
ซึ่งช่วยงานของสมาคมมาโดยตลอด
อย่างคุณเกียรติ คุณจรรย์สมร วัธนเวคิน นั้น
นับได้ว่ามีส่วนช่วยงานของสมาคมด้วยดี นอกเหนือจากการดำเนินงานด้านในประเทศแล้ว
สมาคมฮากกายังมีการติดต่อกับ
สมาคมฮากกาในต่างประเทศทุกมุมโลก
ไม่ว่าในอินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น สหรัฐ
นับพันเดินทางมาชุมนุมกัน
นับได้ว่าเป็นการชุมนุมของจีนโพ้นทะเล
ครั้งใหญ่ในเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง
เหมือนกับที่สมาคมแต้จิ๋วโลก
จัดในกรุงเทพฯ ในเวลาใกล้เคียงกัน แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบความยิ่งใหญ่ของสมาชิกแล้ว
กลุ่มแต้จิ๋วจะมากกว่า แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นความสำคัญ
และสามัคคีของชาวจีนแคะ
หรือ “ฮากกา” โดยเฉพาะในเมืองไทย
แน่นอนว่าการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม
เพื่อทำการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ตามธรรมเนียมตั้งแต่ครั้งอพยพมาจากเมืองจีนนานมาแล้ว
เช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีความหมายให้ชุมนุมเล็ก ๆ
ซึ่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ของเมืองไทย
ได้เป็นที่พึ่งของสมาชิก แม้ว่าปัจจุบันคนจีนรุ่นหลัง
จะกลายเป็นไทยกันหมดแล้ว
แต่ธรรมเนียมเก่าแก่เหล่านี้ก็ยังมีบทบาท
ที่จะดำเนินต่อไปอยู่และคงจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
ให้เหมาะสมกับสภาพต่อไปในอนาคต


ข้อมูลจากหนังสือ "คนจีน ๒๐๐ ปี
ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร" หน้า ๑๑๐ - ๑๑๒

สมาคมจีนแคะ “สมาคมแห่งแรกในไทย”


โดย: ธีรวิทย์ สวัสดิบุตร

No comments: